17 ธันวาคม 2565

วิตามินดี (Vitamin D) ละลายได้ในไขมัน สังเคราะห์ที่ผิวหนังเมื่อโดนแสงแดด ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน

สารบัญเนื้อหา

วิตามินดี (Vitamin D) คือวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน และมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก โดยรูปแบบของวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีด้วยกัน 2 ประเภทคือ วิตามินดี 2 หรือ เออโกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) ที่สามารถพบได้ในพืช และวิตามินดี 3 หรือ โคเลแคลซิเฟอรอล (Chloecalciferol) ที่ร่างกายจะได้รับการจากสังเคราะห์บริเวณผิวหนังเมื่อโดนแสงอ่อนๆ ซึ่งวิตามินดีทั้ง 2 ประเภทนี้ล้วนมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสภายในร่างกาย จำเป็นต่อการพัฒนาการของเด็ก อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี

การรับวิตามินเข้าสู่ร่างกาย

ร่างกายของมนุษย์สามารถรับวิตามินดีได้ 2 ทาง ดังต่อไปนี้

1. อาหาร

วิตามินดีมีมากในอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทู และปลาทูน่า นอกจากนี้ ในต่างประเทศยังนิยมผสมวิตามินดีลงในนม น้ำส้ม โยเกิร์ต หรือธัญพืช และซีเรียส เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกด้วย

2. แสงแดด

นอกจากการรับประทานอาหารแล้ว ร่างกายยังสามารถรับวิตามินดีได้จากการสัมผัสแสงแดด โดยการที่จะได้วิตามินดีที่เพียงพอจากแสงแดดนั้น ควรให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน ด้วยการใส่เสื้อแขนสั้นหรือกางเกงขาสั้น ซึ่งวิตามินดีที่ได้จะสังเคราะห์บริเวณผิวหนังชั้นนอกสุด หรือผิวชั้นหนังกำพร้า

แสงแดดยามเช้า ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดี

แสงแดดสร้างวิตามินดีให้กับมนุษย์ได้อย่างไร?

กระบวนการสร้างวิตามินดีของแสงแดดต่อผิวหนังมนุษย์ เกิดจากการที่ผิวหนังสัมผัสแสงแดดในระยะเวลาที่เหมาะสม จากนั้นจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างแสงแดดและสารตั้งต้น วิตามินดีก็จะเกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง แล้วจึงกระจายไปยังเส้นเลือดฝอยใต้ผิวเพื่อไปจับกับโปรตีนเข้าสู่เส้นเลือด ก่อนจะไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น ลำไส้ ตับ ไต กระดูก เพื่อดูดซึมแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างวิตามินดีจากแสงแดดของผิวหนังแต่ละคนนั้น ไม่ได้เท่ากันเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ปริมาณของแสงแดดที่ได้รับ เสื้อผ้าที่ใส่ ฤดูกาล รวมไปถึงสีผิวของแต่ละบุคคล

สาเหตุของการที่ร่างกายขาดวิตามินดี

สาเหตุที่ร่างกายขาดวิตามินดี มีหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

ได้รับวิตามินดีจากอาหารไม่เพียงพอ

การรับประทานมังสวิรัติ หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อปลา จะทำให้เกิดภาวะขาดวิตามินในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายอาจจะเกิดผลข้างเคียงหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องความแข็งแรงของกระดูก

ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ

ผู้ที่มักจะอาศัยอยู่แต่ในบ้าน หรือในที่ร่ม จะขาดการสังเคราะห์วิตามินดีบนผิวหนัง รวมไปถึงผู้ที่ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ กลุ่มคนเหล่านี้จะเกิดกระบวนการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดสู่ผิวหนังที่ลดน้อยลง

การดูดซึมวิตามินดีในทางเดินอาหารบกพร่อง

การดูดซึมวิตามินในทางเดินอาหารบกพร่อง สืบเนื่องมาจากตัวโรคบางชนิดที่ส่งผลให้การดูดซึมวิตามินดีลดลง รวมไปถึงการผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ซึ่งมีส่วนทำให้การดูดซึมวิตามินดีทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร

การรับประทานยาบางชนิด

การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยารักษาวัณโรคบางขนาน หรือยาขยายหลอดลม เป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายแปรสภาพวิตามินดีให้อยู่ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์น้อยลง

ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน

ร่างกายของมนุษย์มีความจำเป็นในการได้รับวิตามินดีในปริมาณที่แตกต่างกัน แล้วแต่ช่วงวัย ดังนี้

  1. อายุต่ำกว่า 12 เดือน ควรได้รับวิตามินดีวันละ 10 ไมโครกรัม
  2. อายุต่ำกว่า 70 ปี ควรได้รับวิตามินดีวันละ 15 ไมโครกรัม
  3. อายุมากกว่า 70 ปี ควรได้รับวิตามินดีวันละ 20 ไมโครกรัม
  4. สตรีที่วางแผนตั้งครรภ์ ควรได้รับวิตามินดีวันละ 10 ไมโครกรัม
  5. สตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ควรได้รับวิตามินดีวันละ 50-100 ไมโครกรัม
  6. ทารกที่ดื่มนมแม่และมีความเสี่ยงขาดวิตามินดี ควรได้รับวิตามินดีวันละ 10-50 ไมโครกรัม

จะเห็นได้ว่าภาวะร่างกายขาดวิตามินดี จะส่งผลให้การดูดซึมแคลเซียมบริเวณทางเดินอาหารลดลง เป็นเหตุให้กระดูกมีความเสี่ยงในการแตกหักจากการลื่นหรือหกล้มได้ เพราะมวลกระดูกลดลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังเป็นเหตุให้มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น ระดับแคลเซียม และฟอสฟอรัสต่ำลง เกิดภาวะโรคกระดูกอ่อนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ฯลฯ ดังนั้น เพื่อเลี่ยงปัญหาสุขภาพดังกล่าวก็ควรหันมารับวิตามินดีให้เพียงพอจะดีที่สุด

บทความแนะนำ