4 ธันวาคม 2567

สับปะรด (Pineapple) ผลไม้ช่วยย่อย พลังงานต่ำ คุณค่าทางอาหารสูง มีประโยชน์หลากหลาย

สับปะรด
สรุปโดยย่อ: สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว อุดมไปด้วยวิตามินซี ใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แมงกานีส ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงผิวพรรณ และส่งเสริมการย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์บรอมีเลนที่ช่วยย่อยโปรตีน สับปะรดมีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวผัด หรือทานสด
สารบัญเนื้อหา

สับปะรด (Pineapple) เป็นผลไม้เมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ จัดอยู่ในวงศ์ Bromeliaceae ลักษณะผลมีเปลือกแข็งสีเหลืองหรือเขียว ปกคลุมด้วยตารูปหกเหลี่ยมทั่วผล เนื้อในมีสีเหลือง กลิ่นหอม และรสชาติหวานอมเปรี้ยว เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แมงกานีส นอกจากนี้ยังมี เอนไซม์บรอมีเลน (Bromelain) ซึ่งมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารและลดการอักเสบ สับปะรดสามารถรับประทานสด ปรุงอาหาร หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำสับปะรด แยม หรือขนมหวาน นอกจากนี้ยังเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในการนำไปใช้ประกอบอาหารในหลายประเทศ เช่น ใส่ในสลัด ผลไม้รวม พิซซ่า หรือผัดเปรี้ยวหวาน การปลูกสับปะรดมีการแพร่หลายทั่วโลกในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกสับปะรดจำนวนมาก สับปะรดจึงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเกษตรและเศรษฐกิจของหลายประเทศ

ประเภทของสับปะรด

สับปะรดมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์มีลักษณะและรสชาติที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างของสับปะรดที่นิยมปลูกและบริโภค ได้แก่

  1. สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย (หรือสับปะรดศรีราชา): เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในภาคตะวันออกของประเทศไทย ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานอมเปรี้ยว
  2. สับปะรดพันธุ์ภูแล: เป็นพันธุ์ที่ปลูกในภาคเหนือของประเทศไทย ผลขนาดเล็ก เนื้อสีเหลืองทอง รสชาติหวานกรอบ นิยมใช้ในการทำขนมหรือทานสด
  3. สับปะรดพันธุ์นางแล: มีลักษณะคล้ายภูแล แต่มีผลใหญ่กว่า เนื้อมีความหวานและฉ่ำน้ำมาก
  4. สับปะรดพันธุ์อินทผาลัม: เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในภาคใต้ของประเทศไทย ผลขนาดกลาง รสชาติหวานอมเปรี้ยว และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว

สารอาหารหลักในสับปะรด

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สารอาหารหลักที่พบในสับปะรดประกอบด้วย:

  1. คาร์โบไฮเดรต: เป็นสารอาหารหลักที่พบมากที่สุดในสับปะรด โดยอยู่ในรูปของน้ำตาลธรรมชาติที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย
  2. น้ำ: เป็นส่วนประกอบหลักที่ช่วยทำให้สับปะรดมีความสดชื่นและฉ่ำ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 86% ของน้ำหนักผล
  3. ใยอาหาร: มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย

วิตามินที่พบได้มากในสับปะรด

สับปะรดเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีปริมาณสูง ตัวอย่างของวิตามินที่พบได้มากในสับปะรด ได้แก่:

  1. วิตามินซี: สับปะรดเป็นแหล่งของวิตามินซีที่สำคัญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  2. วิตามินบี 6: ช่วยในการเผาผลาญโปรตีน และสนับสนุนการทำงานของระบบประสาท
  3. วิตามินเอ (ในรูปเบต้าแคโรทีน): ช่วยบำรุงสายตาและส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

แร่ธาตุที่พบได้มากในสับปะรด

สับปะรดยังเป็นแหล่งที่ดีของแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ตัวอย่างของแร่ธาตุที่พบได้มากในสับปะรด ได้แก่:

  1. แมงกานีส: ช่วยในการเผาผลาญพลังงานและเสริมสร้างกระดูก
  2. โพแทสเซียม: ช่วยควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกาย และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ
  3. ทองแดง: ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และเสริมการทำงานของเอนไซม์ในร่างกาย

สับปะรดมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

  1. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในสับปะรดมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีขึ้น
  2. บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในสับปะรดช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวดูแข็งแรงและสดใส
  3. ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร: ใยอาหารและเอนไซม์บรอมีเลนในสับปะรดมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร และทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ช่วยควบคุมน้ำหนัก: ด้วยปริมาณพลังงานที่ต่ำ และน้ำและใยอาหารที่มีสูง สับปะรดเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  5. เสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ: แมงกานีสและแร่ธาตุอื่น ๆ ในสับปะรดช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ

เอนไซม์บรอมีเลน คือ สารที่อยู่ในสับปะรด ช่วยย่อยโปรตีนจากอาหารให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องอืดและช่วยในการย่อยอาหาร

การบริโภคสับปะรดสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วน ควรรับประทานสับปะรดสดในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพและความแข็งแรงในทุกด้าน

เก็บรักษาสับปะรดให้คงคุณค่าสารอาหาร

การเก็บรักษาสับปะรดอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณค่าสารอาหารคงอยู่ได้นานที่สุด สำหรับสับปะรดสด สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้ประมาณ 2-3 วัน หากต้องการเก็บไว้นานกว่านี้ ควรเก็บไว้ในตู้เย็น โดยการหั่นเป็นชิ้นและเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท สับปะรดที่หั่นแล้วสามารถเก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 5-7 วัน การเก็บในที่เย็นจะช่วยรักษาความสดและคุณค่าสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซีที่สามารถเสื่อมสลายได้เมื่อถูกอากาศหรือตากแดดเป็นเวลานาน

วิธีนำสับปะรดมาทำอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน

การนำสับปะรดมาปรุงอาหารสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งการทานสด นำไปใส่ในสลัดผลไม้ หรือการนำไปปรุงอาหารคาว เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน หรือใส่ในแกง นอกจากนี้ การทำน้ำสับปะรดคั้นสดก็เป็นทางเลือกที่ดีในการรับประโยชน์จากสารอาหารในสับปะรด วิธีการทำอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือการปรุงที่ใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานาน เช่น การทอดหรืออบนาน ๆ เพราะความร้อนจะทำลายวิตามินซีและเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์ ดังนั้น การทานสับปะรดสดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วน

คำแนะนำในการกินสับปะรด สำหรับผู้ที่เป็นโรคต่าง ๆ

แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มากมาย แต่ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างควรระมัดระวังในการบริโภค

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ควรระวังการทานสับปะรดในปริมาณมากเกินไป เนื่องจากมีเอนไซม์บรอมีเลนที่ช่วยย่อยโปรตีน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือด ควรระวังในการบริโภคสับปะรด เนื่องจากสับปะรดมีน้ำตาลธรรมชาติในปริมาณที่สูง ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคสับปะรด หากเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการแพ้ผลไม้ชนิดนี้ เนื่องจากเอนไซม์ในสับปะรดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้

สารอาหารในสับปะรด

  1. เอนไซม์บรอมีเลน (Bromelain): เป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน มีคุณสมบัติช่วยในการย่อยอาหาร และยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในบางกรณี
  2. วิตามินซี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง
  3. แมงกานีส: ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน และเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง
  4. ใยอาหาร: มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และลดการสะสมของสารที่เป็นอันตรายในร่างกาย

วิธีเลือกซื้อสับปะรดด้วยตนเอง

ในการเลือกซื้อสับปะรด ควรพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลที่สดและมีคุณภาพ ข้อควรระวังมีดังนี้:

  1. ดูสีของเปลือก: เปลือกของสับปะรดที่สุกควรมีสีเหลืองสด ไม่ควรเลือกผลที่มีสีเขียวมากเกินไปเพราะอาจยังไม่สุกเต็มที่
  2. ตรวจสอบกลิ่น: สับปะรดที่สุกจะมีกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัว ควรหลีกเลี่ยงผลที่มีกลิ่นแรงผิดปกติ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเน่าเสีย
  3. สังเกตสภาพของใบ: ใบยอดของสับปะรดควรมีสีเขียวสด ไม่มีอาการเหี่ยวแห้ง หากใบเริ่มเปลี่ยนสีหรือแห้งกรอบ อาจบ่งบอกว่าผลไม้นั้นถูกเก็บไว้นานเกินไป
  4. ตรวจสอบความแข็งของเปลือก: กดเบา ๆ บนผิวของสับปะรด เปลือกควรมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย แต่ไม่ควรนิ่มเกินไป หรือแข็งเกินไป ซึ่งอาจหมายความว่ายังไม่สุก
  5. ตรวจสอบจุดด่างดำ: ควรหลีกเลี่ยงผลที่มีจุดดำหรือรอยช้ำมาก เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเน่าเสียภายใน

สับปะรดนิยมนำมาทำเมนูอาหารอะไรได้บ้าง

สับปะรดสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งคาวและหวาน เนื่องจากมีรสชาติที่เปรี้ยวอมหวาน ทำให้นำมาใช้ปรุงอาหารได้หลายประเภท ตัวอย่างเมนูที่นิยมทำจากสับปะรด ได้แก่:

  1. ผัดเปรี้ยวหวาน: สับปะรดเป็นส่วนผสมหลักในเมนูผัดเปรี้ยวหวานที่ใช้คู่กับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู ไก่ หรือกุ้ง ช่วยเพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวานให้กลมกล่อม
  2. แกงคั่วสับปะรด: นิยมใช้สับปะรดในแกงคั่วร่วมกับเนื้อสัตว์ เช่น แกงคั่วหอย หรือแกงคั่วปลา เพิ่มความหวานสดชื่นจากผลไม้
  3. พิซซ่าหน้าฮาวายเอียน: สับปะรดถูกใช้เป็นส่วนประกอบของพิซซ่า โดยเป็นท็อปปิ้งร่วมกับแฮมและชีส ทำให้ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยวตัดกับความเค็มของชีส
  4. สลัดผลไม้: สับปะรดสดสามารถนำมาทำเป็นสลัดผลไม้ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ ให้รสชาติสดชื่น และได้สารอาหารจากผลไม้หลากหลายชนิด
  5. น้ำสับปะรดคั้นสด: เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ให้ความสดชื่น และได้รับวิตามินซีเต็มเปี่ยมจากสับปะรด
  6. ข้าวผัดสับปะรด: เมนูข้าวผัดที่ใส่สับปะรดเพื่อเพิ่มรสชาติหวานธรรมชาติ มักใช้ร่วมกับกุ้ง หมู หรือไก่ ทำให้ได้รสชาติที่หลากหลาย

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว อุดมไปด้วยวิตามินซี ใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แมงกานีส ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงผิวพรรณ และส่งเสริมการย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์บรอมีเลนที่ช่วยย่อยโปรตีน สับปะรดมีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน ข้าวผัด หรือทานสด

อาหาร

ให้พลังงาน
50 Kcal
(ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ส่วนประกอบใน 100g.
คาร์โบไฮเดรต 13.1%
โปรตีน 0.5%
ไขมัน 0.1%
ใยอาหาร 1.4%
น้ำ 86%
ในสับปะรด (Pineapple) 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ (Kcal) หรือคิดเป็น 0.5 กิโลแคลอรี่ ต่อน้ำหนัก 1 กรัม

รู้หรือไม่?

การกินสับปะรดหลังอาหารสามารถช่วยย่อยโปรตีนได้ดีขึ้น เนื่องจากในสับปะรดมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า "บรอมีเลน" ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อยสลายโปรตีนในอาหารให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ นอกจากนั้น สับปะรดยังช่วยลดอาการท้องอืด และท้องเฟ้อหลังอาหารได้อีกด้วย

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ