3 ธันวาคม 2567

มะม่วง (Mango) ผลไม้หอมหวาน มัน เปรี้ยว เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ หาทานได้ง่าย

มะม่วง
สรุปโดยย่อ: มะม่วง (Mango) เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเส้นใยอาหารช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดี นอกจากนี้ มะม่วงยังมีแร่ธาตุอย่างโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดัน และแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก การกินมะม่วงเป็นประจำทำให้ร่างกายแข็งแรง และได้รับพลังงานที่สมดุล
สารบัญเนื้อหา

มะม่วง (Mango) เป็นผลไม้เขตร้อนที่มีรสชาติหอมหวานอร่อย และได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่เพียงแค่รสชาติที่ดี มะม่วงยังเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งสามารถนำมาช่วยในการบำรุงสุขภาพในหลายๆ ด้าน ทั้งนี้ มะม่วงมีสารอาหารสำคัญมากมายที่ทำให้ผลไม้นี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก

วิตามินในมะม่วง

มะม่วงเป็นแหล่งของวิตามินที่สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และการดูแลระบบต่างๆ ของร่างกาย

1. วิตามินเอ

มะม่วงมีวิตามินเอในรูปของเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารประกอบที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสายตาให้แข็งแรง ช่วยในการมองเห็นในที่มืด นอกจากนี้ ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ได้

2. วิตามินซี

วิตามินซีที่พบในมะม่วงมีความสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นในการสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง กระดูก และหลอดเลือด นอกจากนี้ วิตามินซียังมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และปกป้องร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ

แร่ธาตุในมะม่วง

มะม่วงยังมีแร่ธาตุที่สำคัญที่ร่างกายต้องการ ได้แก่ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการดูแลระบบการทำงานของร่างกาย

1. โพแทสเซียม

โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย และมีบทบาทในการควบคุมความดันเลือด โพแทสเซียมยังช่วยในการส่งกระแสประสาท และการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. แมกนีเซียม

แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังเป็นตัวช่วยในการควบคุมการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ในร่างกาย และมีส่วนในการช่วยให้กล้ามเนื้อ และระบบประสาททำงานได้ดี

เส้นใยอาหารในมะม่วง

มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งเส้นใยอาหารมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบย่อยอาหาร และการทำงานของลำไส้ การรับประทานเส้นใยอาหารที่เพียงพอจะช่วยลดอาการท้องผูก และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ นอกจากนี้ เส้นใยอาหารยังมีส่วนในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมันในเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย

น้ำตาลธรรมชาติในมะม่วง

แม้ว่ามะม่วงจะมีน้ำตาลธรรมชาติสูง แต่ก็เป็นน้ำตาลที่มาจากแหล่งธรรมชาติ ซึ่งไม่เหมือนกับน้ำตาลที่เติมเข้าไปในอาหารแปรรูป น้ำตาลธรรมชาติในมะม่วงมีบทบาทในการให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานที่จำเป็นในการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน การบริโภคน้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้ยังเป็นวิธีที่ดีในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อเทียบกับน้ำตาลแปรรูป

สารประกอบที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

มะม่วงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของเซลล์ และชะลอการเสื่อมโทรมของร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระในมะม่วงรวมถึง เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และโพลีฟีนอล ซึ่งทั้งหมดมีส่วนในการบำรุงสุขภาพ

พลังงานและแคลอรี่ในมะม่วง

มะม่วงเป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเติมพลังให้กับร่างกาย ในขณะที่มะม่วงมีปริมาณแคลอรี่ไม่สูงมากนัก จึงสามารถบริโภคได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก แคลอรี่ที่ได้จากมะม่วงเป็นแคลอรี่ที่มาจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างสมดุล นอกจากนี้ การบริโภคมะม่วงยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เนื่องจากมีน้ำในปริมาณที่สูงช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย

การเลือกซื้อมะม่วง

การเลือกซื้อมะม่วงที่ดีนั้นควรเลือกผลที่มีเปลือกเรียบเนียน สีของมะม่วงจะขึ้นอยู่กับพันธุ์ หากต้องการมะม่วงสุกควรเลือกผลที่มีสีเข้ม และกลิ่นหอมหวาน มะม่วงสามารถเก็บรักษาได้ทั้งในอุณหภูมิห้อง และในตู้เย็น หากมะม่วงยังไม่สุก ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องจนกว่าจะสุก จากนั้นจึงนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อรักษาความสดใหม่

  • สีของมะม่วง: เลือกมะม่วงที่มีสีสม่ำเสมอ ไม่ควรมีจุดดำหรือรอยช้ำมากเกินไป สีเปลือกของมะม่วงสุกจะแตกต่างไปตามพันธุ์ ดังนั้นควรเลือกตามความต้องการว่าจะรับประทานดิบหรือสุก
  • เนื้อสัมผัส: มะม่วงสุกควรมีเนื้อสัมผัสนิ่มเล็กน้อยเมื่อกดเบาๆ แต่ไม่ควรนิ่มเกินไป หากแข็งเกินไปอาจยังไม่สุก และถ้านิ่มมากเกินไปอาจเริ่มเน่า
  • กลิ่น: มะม่วงที่สุกมักจะมีกลิ่นหอมหวาน หากมีกลิ่นเปรี้ยวหรือมีกลิ่นหมัก แสดงว่ามะม่วงเริ่มเน่า
  • เปลือก: เปลือกควรดูเรียบ ไม่แตกหรือมีรอยบุบมากเกินไป เพราะรอยเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่ามะม่วงมีการเสื่อมสภาพ

มะม่วงดิบ VS มะม่วงสุก

แม้ว่ามะม่วงดิบและมะม่วงสุกจะมีสารอาหารที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ทั้งสองประเภทก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สามารถเลือกบริโภคได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล

แคลอรี่

  • มะม่วงดิบ: มีแคลอรี่ต่ำกว่ามะม่วงสุก เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติที่น้อยกว่า
  • มะม่วงสุก: มีแคลอรี่สูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับมะม่วงดิบ เพราะในกระบวนการสุก น้ำตาลธรรมชาติในมะม่วงจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้รสชาติหวานและมีพลังงานเพิ่ม

สารอาหาร

  • มะม่วงดิบ: มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่ามะม่วงสุก ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินซี นอกจากนี้ มะม่วงดิบยังมีกรดที่ทำให้มีรสเปรี้ยว ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารได้ดี
  • มะม่วงสุก: มีวิตามินเอในรูปของเบต้าแคโรทีนสูงกว่ามะม่วงดิบ ซึ่งช่วยในการบำรุงสายตา และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ มะม่วงสุกยังให้พลังงานที่มากกว่า และมีรสชาติหวานกว่า เนื่องจากน้ำตาลธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการสุก

เส้นใยอาหาร

ทั้งมะม่วงดิบและมะม่วงสุกมีเส้นใยอาหารสูง ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและส่งเสริมการทำงานของลำไส้ อย่างไรก็ตาม เส้นใยในมะม่วงดิบอาจช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ดีกว่า

ทำไมนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นชอบมากินมะม่วงที่ไทย

คนญี่ปุ่นนิยมมากินมะม่วงที่ไทยเนื่องจากเหตุผลหลายประการที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพ รสชาติ ความหลากหลาย และชื่อเสียงของมะม่วงไทยในตลาดโลก ดังนี้:

  1. รสชาติหวานและหอมเป็นเอกลักษณ์: มะม่วงไทย เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ มีรสชาติหวาน หอม และเนื้อนุ่ม ซึ่งต่างจากมะม่วงที่ปลูกในประเทศอื่นๆ คนญี่ปุ่นชื่นชอบรสชาติที่หลากหลายของมะม่วงไทย ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงดิบ มะม่วงมัน หรือมะม่วงสุก
  2. คุณภาพของมะม่วงไทย: มะม่วงที่ปลูกในประเทศไทยมีการดูแลและเลือกพันธุ์ที่ดีเพื่อการส่งออก ทำให้มะม่วงมีคุณภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ที่ปลูกเพื่อการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น
  3. ความสดใหม่และการเข้าถึงง่าย: ในประเทศไทย มะม่วงมีให้เลือกหลากหลายสายพันธุ์และมีความสดใหม่กว่ามะม่วงนำเข้าในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นที่มาท่องเที่ยวไทยมักจะได้สัมผัสกับมะม่วงที่สดจากสวน และมีราคาที่ถูกกว่าที่ขายในประเทศของตน
  4. มะม่วงกับข้าวเหนียวมะม่วง: ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของหวานที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และคนญี่ปุ่นนิยมลองทานข้าวเหนียวมะม่วงเมื่อมาท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากเป็นเมนูที่โดดเด่นด้วยรสชาติหวานมันและกลมกล่อม

เมื่อเปรียบเทียบราคามะม่วงระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น พบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น ต้นทุนการผลิต การขนส่ง และความต้องการในตลาดญี่ปุ่น ราคามะม่วงในญี่ปุ่นมักจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับที่ไทย

A. ราคามะม่วงในประเทศไทย

มะม่วงในไทยมีราคาค่อนข้างถูก โดยเฉพาะในฤดูที่มะม่วงออกผลมาก เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หรือมะม่วงเขียวเสวย ราคาขายปลีกในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 40-100 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับพันธุ์ คุณภาพ และฤดูกาล

B. ราคามะม่วงในญี่ปุ่น

ในญี่ปุ่น มะม่วงนำเข้าจากไทยจะมีราคาสูงมาก เนื่องจากต้นทุนการขนส่งและภาษีนำเข้า โดยมะม่วงไทยคุณภาพสูง เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มักมีราคาประมาณ 250-750 บาทต่อผล ขึ้นอยู่กับขนาดและความสดใหม่

มะม่วงเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิด ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ การบริโภคมะม่วงเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากสารอาหารที่มะม่วงมอบให้ การเลือกมะม่วงที่สด และเก็บรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ได้ผลไม้อร่อยที่มีคุณค่าสูงสุด

มะม่วงบางชนิดมีรสเปรี้ยวเนื่องจาก ปริมาณของกรดอินทรีย์ในผลมะม่วงที่ยังคงสูง ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติ เช่น กรดซิตริกและกรดแอสคอร์บิก มะม่วงดิบหรือพันธุ์ที่มีรสเปรี้ยวมักมีกรดเหล่านี้ในปริมาณมาก ทำให้รสชาติเปรี้ยวมากกว่าเมื่อเทียบกับมะม่วงสุก

นอกจากนี้ ความเปรี้ยวยังขึ้นอยู่กับพันธุ์มะม่วงอีกด้วย บางพันธุ์จะมีรสเปรี้ยวแม้เมื่อสุก เช่น มะม่วงแก้ว และมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบ ในขณะที่มะม่วงบางชนิด เช่น มะม่วงอกร่องและมะม่วงน้ำดอกไม้สุก จะมีรสชาติหวานเป็นหลักเมื่อสุก

มะม่วงมัน คือมะม่วงที่มีรสชาติหวานมัน กรอบ และเนื้อแน่น ส่วนใหญ่มักจะรับประทานในช่วงที่ยังไม่สุกเต็มที่หรือสุกแค่บางส่วน มะม่วงชนิดนี้จะไม่เปรี้ยวเหมือนมะม่วงดิบทั่วไป แต่ก็ยังไม่หวานจัดเหมือนมะม่วงสุกเต็มที่ ทำให้มีรสชาติที่หวานมันและกรอบ อันเป็นเอกลักษณ์ที่หลายคนชื่นชอบ เป็นที่นิยมสำหรับการรับประทานสด หรือจิ้มกับน้ำปลาหวาน เช่น มะม่วงพันธุ์ฟ้าลั่น มะม่วงเขียวเสวย และมะม่วงพิมเสน

อาหาร

ให้พลังงาน
60 Kcal
(ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ส่วนประกอบใน 100g.
คาร์โบไฮเดรต 15%
โปรตีน 0.8%
ไขมัน 0.4%
ใยอาหาร 1.6%
น้ำ 83%
ในมะม่วง (Mango) 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ (Kcal) หรือคิดเป็น 0.6 กิโลแคลอรี่ ต่อน้ำหนัก 1 กรัม

รู้หรือไม่?

มะม่วงดิบช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แม้มะม่วงดิบจะมีรสเปรี้ยว และมีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติน้อยกว่ามะม่วงสุก แต่กลับมีเส้นใยอาหารสูงกว่า ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ เส้นใยอาหารในมะม่วงดิบยังช่วยเพิ่มความอิ่ม ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหาร มากกว่าการกินมะม่วงสุก

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ