4 ธันวาคม 2567

ขิง (Ginger) พืชสมุนไพร มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งทำอาหาร บำรุงผิว ช่วยขับลมได้ดี

ขิง (Ginger)
สรุปโดยย่อ: ขิง (Ginger) เป็นพืชสมุนไพรที่มีสารอาหารหลากหลาย เช่น วิตามินซี วิตามินบีรวม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น จินเจอรอลและโชกอล ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ขิงยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยในขิงยังช่วยผ่อนคลายและลดความเครียด การบริโภคขิงในรูปแบบต่างๆ ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารบัญเนื้อหา

ขิง (Ginger หรือ Zingiber officinale) เป็นพืชสมุนไพรที่มีประวัติการใช้งานมายาวนานในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ทั้งในด้านการทำอาหารและการดูแลสุขภาพ ขิงมีรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับอาหาร แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ขิงยังเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บทความนี้จะเน้นการอธิบายถึงสารอาหารต่างๆ ที่พบในขิง และประโยชน์จากการบริโภคขิงในแง่ของโภชนาการ

สารอาหารในขิง

ขิงอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยสารอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่ยังมีคุณสมบัติที่ส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายมิติ การรู้จักกับสารอาหารเหล่านี้จะทำให้การบริโภคขิงเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพ

วิตามินและแร่ธาตุในขิง

ขิงเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย วิตามินและแร่ธาตุที่พบในขิง ได้แก่:

  • วิตามินซี: วิตามินซีในขิงมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวพรรณ เส้นเลือด และกระดูก
  • วิตามินบีรวม: ขิงเป็นแหล่งของวิตามินบีหลายชนิด เช่น วิตามินบี1 (ไทอามีน) วิตามินบี2 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามินบี6 ซึ่งวิตามินบีเหล่านี้มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงาน ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างกระบวนการเผาผลาญสารอาหารให้เกิดพลังงานที่ร่างกายสามารถใช้ได้
  • โพแทสเซียม: ขิงมีโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โพแทสเซียมยังช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย ทำให้การทำงานของเซลล์ต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • แมกนีเซียม: แมกนีเซียมในขิงมีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงาน และช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการทำงานของหัวใจ

สารต้านอนุมูลอิสระในขิง

ขิงเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เช่น จินเจอรอล (Gingerol) และโชกอล (Shogaol) สารเหล่านี้เป็นสารประกอบสำคัญที่ให้ขิงมีรสเผ็ด และมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระในขิงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย การบริโภคขิงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ เช่น การสลายตัวของเนื้อเยื่อและการเกิดริ้วรอยบนผิว

จินเจอรอล (Gingerol) คือสารประกอบที่พบในขิง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ สารนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นระบบย่อยอาหาร และช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น นอกจากนี้ จินเจอรอลยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย

น้ำมันหอมระเหยในขิง

ขิงมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารเคมีที่สำคัญหลายชนิด เช่น ซิงจิเบอรีน (Zingiberene) จินเจอรอล และโชกอล น้ำมันหอมระเหยเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับขิงในอาหารเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติในการผ่อนคลายและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย การใช้น้ำมันหอมระเหยจากขิงในรูปแบบการนวดหรือต้มดื่มจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต

โชกอล (Shogaol) คือสารประกอบที่เกิดขึ้นเมื่อขิงถูกทำให้แห้งหรือผ่านความร้อน มีรสเผ็ดมากกว่าจินเจอรอล โชกอลมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการคลื่นไส้ และช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี ช่วยปกป้องร่างกายจากการเสื่อมสภาพของเซลล์

เส้นใยอาหารในขิง

ขิงเป็นแหล่งของเส้นใยอาหารที่ดี เส้นใยในขิงมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และลดอาการท้องผูก เส้นใยอาหารยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย การบริโภคขิงในรูปแบบต่างๆ เช่น ชาชงขิง หรือใส่ขิงในอาหาร ยังช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ประโยชน์ของขิงในด้านโภชนาการ

ขิงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ยังมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ส่งเสริมสุขภาพโดยรวม การบริโภคขิงในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร

ขิงมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร น้ำมันหอมระเหยในขิงช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและเอนไซม์ย่อยอาหาร ทำให้กระบวนการย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น การบริโภคขิงหลังอาหารสามารถช่วยลดอาการท้องอืดและแน่นท้อง และช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น

2. บำรุงระบบไหลเวียนโลหิต

ขิงมีสารเคมีที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำมันหอมระเหยในขิงช่วยขยายหลอดเลือดและทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น การบริโภคขิงหรือการใช้น้ำมันหอมระเหยจากขิงในการนวดช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต และลดอาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ

3. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

สารต้านอนุมูลอิสระในขิง เช่น จินเจอรอลและโชกอล มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การบริโภคขิงช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น

4. ลดความเครียดและช่วยผ่อนคลาย

กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยในขิงมีคุณสมบัติในการผ่อนคลายจิตใจ และช่วยลดความเครียด การดื่มชาขิงหรือใช้น้ำมันหอมระเหยจากขิงในการนวดสามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสงบ นอกจากนี้ การดื่มชาขิงอุ่นๆ ก่อนนอนยังช่วยให้นอนหลับได้สบายมากขึ้น

วิธีการบริโภคขิงแบบต่างๆ

ขิงสามารถนำไปใช้ในอาหารและเครื่องดื่มได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ในการบริโภค ตัวอย่างวิธีการบริโภคขิงเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางโภชนาการ ได้แก่

  • ชาขิง: ชาขิงเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร การดื่มชาขิงหลังมื้ออาหารจะช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น
  • ขิงสดในอาหาร: การใช้ขิงสดเป็นส่วนประกอบในอาหาร เช่น ต้มยำ แกง หรือผัด จะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้กับอาหาร นอกจากนี้ยังทำให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหารในขิงอย่างครบถ้วน
  • น้ำขิง: การต้มน้ำขิงเป็นเครื่องดื่มช่วยเพิ่มความสดชื่นและกระตุ้นระบบการทำงานของร่างกาย การดื่ม

การทานขิงเพื่อลดน้ำหนัก

ขิงสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้จริงในบางแง่มุม แต่ไม่ได้เป็นตัวช่วยหลักในการลดน้ำหนัก สารประกอบในขิง เช่น จินเจอรอล และ โชกอล มีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบเผาผลาญ ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย นอกจากนี้ ขิงยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความอยากอาหารได้บางส่วน ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

การบริโภคขิง เช่น ดื่มชาขิง หรือน้ำขิงอุ่นๆ อาจช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น แต่การลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพยังคงต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขิงจึงเป็นเพียงตัวช่วยเสริมที่ดีในการสนับสนุนการลดน้ำหนัก

การใช้ขิงเพื่อบำรุงผิว

ขิงมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวอย่างมาก เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น จินเจอรอล และ วิตามินซี ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส

ขิงยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำสารอาหารมาหล่อเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสและสุขภาพดี อีกทั้งสารต้านการอักเสบในขิงยังช่วยลดการระคายเคืองหรือการอักเสบของผิวได้

การดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพ

การดื่มน้ำขิงเพื่อสุขภาพที่ดีสามารถทำได้ง่ายและเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลร่างกาย น้ำขิงมีประโยชน์หลายด้าน เช่น ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย การดื่มน้ำขิงเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้าน ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ วันละ 1-2 แก้ว

1. น้ำขิงสดร้อน

  • วิธีทำ: นำขิงสดประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ (ขูดหรือหั่นบางๆ) ใส่ในน้ำร้อนประมาณ 1 ถ้วย ต้มประมาณ 10-15 นาที กรองเอาเนื้อขิงออก
  • ประโยชน์: ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด และช่วยให้ร่างกายรู้สึกอุ่นสบาย เหมาะสำหรับดื่มในช่วงเช้าหรือหลังอาหาร

2. น้ำขิงผสมน้ำผึ้งมะนาว

  • วิธีทำ: ต้มน้ำขิงสดตามวิธีข้างต้น เมื่อได้แล้วผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • ประโยชน์: น้ำมะนาวเพิ่มวิตามินซี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และน้ำผึ้งช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังงานและความชุ่มชื้นให้กับผิว

3. น้ำขิงเย็น

  • วิธีทำ: ต้มน้ำขิงสดตามวิธีปกติ แล้วปล่อยให้เย็น เติมน้ำแข็ง หรือเก็บในตู้เย็นเพื่อดื่มเป็นเครื่องดื่มเย็นในวันที่อากาศร้อน
  • ประโยชน์: ช่วยเพิ่มความสดชื่น กระตุ้นระบบย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงาน เหมาะสำหรับดื่มหลังอาหารหรือในระหว่างวัน

4. ดื่มน้ำขิงหลังอาหาร

  • วิธีทำ: ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หลังมื้ออาหาร จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและช่วยลดความรู้สึกแน่นท้อง
  • ประโยชน์: ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องอืด และช่วยขับลม

ความแตกต่างระหว่างขิงผงและขิงสด

ขิงผงและขิงสดมีสารอาหารและประโยชน์คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างบางประการในด้านปริมาณและคุณค่าของสารอาหาร

  • จินเจอรอลและโชกอล: ขิงสดมี จินเจอรอล สูง ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยบรรเทาอาการอักเสบ เมื่อขิงสดถูกทำให้แห้งหรือผ่านความร้อน จินเจอรอลจะเปลี่ยนเป็น โชกอล ซึ่งมีความเข้มข้นและรสเผ็ดมากกว่า ดังนั้น ขิงผงจะมีโชกอลมากกว่าขิงสด แต่มีจินเจอรอลน้อยลง
  • ปริมาณสารอาหาร: ขิงผงอาจสูญเสียวิตามินบางชนิด โดยเฉพาะ วิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่สลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนหรือเก็บไว้นาน ขิงสดจะมีปริมาณวิตามินซีมากกว่า ในขณะที่ขิงผงยังคงมีแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม และแมกนีเซียม แต่ปริมาณอาจลดลงเล็กน้อย
  • เส้นใยอาหาร: ขิงสดมีปริมาณเส้นใยอาหารมากกว่าขิงผงเล็กน้อย เนื่องจากกระบวนการทำให้เป็นผงอาจทำให้เส้นใยอาหารบางส่วนหายไป

ขิงผงและขิงสดมีประโยชน์คล้ายกัน แต่ขิงสดจะมีวิตามินและเส้นใยอาหารมากกว่า ขณะที่ขิงผงมีสารโชกอลที่เข้มข้นกว่า ทั้งสองชนิดสามารถใช้ดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพได้ แต่ควรเลือกใช้ตามวัตถุประสงค์และความสะดวกในการเตรียม

ทำไมขิงบางแห่งถึงมีรสเผ็ดมากเผ็ดน้อยต่างกัน

รสชาติของขิงเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนพืชสมุนไพรอื่นๆ ขิงมีรส เผ็ดร้อน ซึ่งมาจากสารประกอบสำคัญที่ชื่อว่า จินเจอรอล (Gingerol) สารนี้เป็นตัวการที่ให้รสเผ็ดเบาๆ ในขิงสด และเมื่อนำขิงไปผ่านกระบวนการอบแห้งหรือผ่านความร้อน สารจินเจอรอลจะเปลี่ยนเป็น โชกอล (Shogaol) ซึ่งทำให้ขิงแห้งหรือขิงผงมีรสชาติที่เผ็ดร้อนกว่าเดิม นอกจากนี้ ขิงยังมีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะตัวที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหาร

การใช้ขิงในอาหารหลากหลายประเภทยังช่วยเสริมรสชาติได้ดี ขิงสามารถนำไปผสมในเมนูคาว เช่น ต้มยำ แกง ผัด หรือแม้กระทั่งในเมนูหวาน เช่น ขนมหวานแบบไทยหรือน้ำขิงร้อน ขิงยังช่วยให้รสชาติอาหารกลมกล่อมมากขึ้น โดยความเผ็ดร้อนจะผสานกับกลิ่นหอมสดชื่น ทำให้อาหารดูมีมิติมากขึ้น

แหล่งอ้างอิง/งานวิจัย

  • เรื่อง: The pharmacological effects of ginger on the gastrointestinal tract • เขียนโดย: Ali, Bilal H. - 2021
  • เรื่อง: Ginger (Zingiber officinale): A review on its health benefits and medicinal effects • เขียนโดย: Singh, Gautam - 2020
  • เรื่อง: Phytochemistry and pharmacological activities of Zingiber officinale • เขียนโดย: Jiang, Hui - 2022

การดื่มน้ำขิงสามารถช่วยลดอาการท้องอืดได้ ขิงมีคุณสมบัติช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ จึงช่วยลดอาการแน่นท้อง ขิงยังมีสารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อลดการสะสมของก๊าซในลำไส้ อาการท้องอืดก็จะลดลง วิธีที่ง่ายที่สุดคือการดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หลังมื้ออาหาร จะช่วยให้รู้สึกสบายท้องและกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้อย่างดีเยี่ยม สารจินเจอรอลและโชกอลในขิงมีส่วนช่วยลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน โดยเฉพาะในกรณีของการเมารถ เมาเรือ หรืออาการคลื่นไส้ในช่วงตั้งครรภ์ การดื่มน้ำขิงหรือน้ำชาขิงอุ่นๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็ว ขิงจึงเป็นสมุนไพรที่มักถูกแนะนำให้ใช้สำหรับบรรเทาอาการคลื่นไส้ตามธรรมชาติ

ขิงสามารถกินดิบได้ ขิงสดมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมเฉพาะตัว การกินขิงดิบมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เช่น ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ขับลม และลดอาการท้องอืด นอกจากนี้ สารจินเจอรอลในขิงสดยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบ แต่ขิงดิบอาจมีรสชาติเผ็ดร้อนมากสำหรับบางคน การนำขิงดิบมาหั่นบางๆ ใส่ในอาหาร เช่น ยำหรือสลัด หรือนำมาทานกับน้ำผึ้ง อาจช่วยลดความเผ็ดและเพิ่มรสชาติให้ทานง่ายขึ้น

แคลอรี่ของ ขิง (Ginger) ใน 100 กรัม

ให้พลังงาน
80 Kcal
(ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ส่วนประกอบใน 100g.
คาร์โบไฮเดรต 17.8%
โปรตีน 1.8%
ไขมัน 0.8%
ใยอาหาร 2%
น้ำ 78.9%
ในขิง (Ginger) 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ (Kcal) หรือคิดเป็น 0.8 กิโลแคลอรี่ ต่อน้ำหนัก 1 กรัม

รู้หรือไม่?

ขิงช่วยเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายได้ดีมากๆ การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หรือทานขิงสดหลังอาหารจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ทำให้ร่างกายใช้พลังงานได้มากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ ขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้รู้สึกสดชื่นและแข็งแรง ใครที่มักรู้สึกอ่อนเพลียระหว่างวัน ลองดื่มชาขิงหรือทานขิงสดเพื่อฟื้นฟูพลังงาน

เรื่องแนะนำ

บทความแนะนำ