4 ธันวาคม 2567

แคลอรี่ใน ต้มยำทะเล มีกี่ Kcal

ต้มยำทะเล

ต้มยำทะเล คือเมนูอาหารไทยยอดนิยมที่ผสมผสานรสชาติเผ็ด เปรี้ยว เค็ม และหวานเข้าด้วยกัน น้ำซุปที่มีความเข้มข้นกำลังดีซึ่งมีกลิ่นหอมจากเครื่องปรุงสมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริกสด เป็นเมนูที่เน้นรสชาติจากทะเลประกอบด้วยทั้งกุ้ง หมึก และปู ซึ่งทำให้มีโปรตีนสูง มีคุณค่าทางอาหารที่ดีจากวัตถุดิบหลัก สามารถทำได้หลากหลายสูตรทั้งแบบน้ำใสและน้ำข้น ที่มาของแคลอรี่มาจากส่วนผสมหลักเหล่านี้ อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในเรื่องของสารอาหารบำรุงสุขภาพจากการใช้สมุนไพรสด

โดยเฉลี่ยปริมาณ ต้มยำทะเล 1 ถ้วย (250 กรัม) ให้พลังงาน

= 150 KCAL

(หรือคิดเป็น 60 Kcal ต่อปริมาณ 100 กรัม)
ใน 1 ถ้วยประกอบด้วยไขมัน 5 g.
⋅ พลังงานจากไขมัน = 45 กิโลแคลอรี่
⋅ เฉพาะไขมันคิดเป็น 7% ที่ร่างกายต้องการต่อวัน
หมายเหตุ: รวมน้ำซุป
ต้มยำทะเล

สัดส่วนสารอาหารหลัก

(สัดส่วนของสารอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกาย)

แหล่งที่มาของแคลอรี่

(แบ่งสัดส่วนของ Kcal ที่ได้รับจากวัตถุดิบในอาหาร)
กุ้ง 40%
หมึก 25%
สมุนไพร 15%
น้ำซุป 10%
ปู 5%
seasoning 4%
ในต้มยำทะเล แคลอรี่มาจากส่วนประกอบหลักที่หลากหลาย โดยกุ้งเป็นแหล่งแคลอรี่หลักจึงมีสัดส่วนสูงถึง 40% รองลงมาคือหมึกอยู่ที่ 25% สมุนไพรมีส่วนช่วยที่ 15% น้ำซุปให้ความหอมหวานในสัดส่วน 10% ทั้งนี้ยังมีปูและการปรุงรสอื่นๆ ที่ให้แคลอรี่บางส่วนเพิ่มเติม

ปริมาณโซเดียมใน ต้มยำทะเล

เฉลี่ยใน 1 ถ้วย
600 - 800
(มิลลิกรัม)
จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่โซเดียม สูง
ต้มยำทะเล 1 ถ้วย (250 กรัม)
มีโซเดียมประมาณ 600-800 มิลลิกรัม
คิดเป็น 30-40% ของปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน
"ต้มยำทะเลมีโซเดียมค่อนข้างสูงเนื่องจากส่วนประกอบหลักต้องการความเค็มเพื่อดึงรสชาติ เช่น น้ำซุปและเครื่องปรุงต่างๆ ทำให้มีปริมาณโซเดียมเพิ่มขึ้น รวมถึงนวัตกรรมทางการปรุงที่เน้นรสเข้มข้น"
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน

วิตามิน/เกลือแร่ที่พบได้ใน ต้มยำทะเล

ในต้มยำทะเล 1 ถ้วย มีสารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ที่พบบ่อยดังนี้
วิตามิน/เกลือแร่ ปริมาณใน 1 จาน %RDI ต่อวัน ได้รับจาก
วิตามินซี 30.5 มิลลิกรัม 50% สมุนไพร
แคลเซียม 40.0 มิลลิกรัม 4% หมึก
ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม 14% กุ้ง
วิตามินเอ 150.0 ไมโครกรัม 21% สมุนไพร
โพแทสเซียม 150.0 มิลลิกรัม 5% สมุนไพร
% RDI ต่อวัน หมายถึง สัดส่วนของสารอาหาร ที่ได้รับจากอาหาร เทียบกับปริมาณที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน

กินต้มยำทะเล 1 ถ้วย ให้พลังงาน 150 แคลอรี่ ต้องเบิร์นแค่ไหน?

เดินเร็ว

ใช้เวลา 0.5 ชั่วโมง

วิ่งจ๊อกกิ้ง

ใช้เวลา 0.3 ชั่วโมง

ว่ายน้ำ

ใช้เวลา 0.3 ชั่วโมง

ปั่นจักรยาน

ใช้เวลา 0.3 ชั่วโมง

ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม และเพิ่มความต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพื่อให้การเผาผลาญมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กินต้มยำทะเลให้ได้พลังงานน้อยที่สุด

สำหรับผู้ที่ต้องการกินเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก หรือควบคุมอาหาร
กินที่ร้าน/ซื้อใส่ถุง
  1. เลือกน้ำซุปใส น้ำซุปใสมีแคลอรี่ต่ำกว่าน้ำข้น ช่วยลดปริมาณไขมันและแคลอรี่ที่ได้รับ
  2. เลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำ จำกัดปริมาณเกลือและเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูง เพื่อสุขภาพที่ดีและลดการสะสมของโซเดียม
  3. ลดวัตถุดิบที่มีไขมันสูง เช่น ปลาหมึกหรือเครื่องใน หลีกเลี่ยงการใช้ไขมันสัตว์
  4. ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติ เช่น น้ำมะนาวสด หลีกเลี่ยงน้ำปรุงรสที่มีน้ำตาลและสารเสริมรส
  5. ปรับสัดส่วนผักเยอะขึ้น เพิ่มผักต่างๆ เพื่อให้มื้ออาหารมีความสมดุลและลดแคลอรี่ได้ดีขึ้น
ทำกินเอง/ปรุงเอง
  1. เลือกวัตถุดิบสด ใช้วัตถุดิบสดที่มีค่าพลังงานต่ำ เช่น สมุนไพรและพืชผัก ช่วยให้รสชาติดีและมีแคลอรี่น้อย
  2. ลดปริมาณน้ำมัน ต้มยำทะเลที่ใช้น้ำมันน้อยในการปรุงจะช่วยลดไขมันและแคลอรี่ที่ไม่จำเป็น
  3. ใช้เครื่องปรุงรสธรรมชาติ หลื่นเลือนการใช้ซุปก้อนและน้ำตาล โดยใช้เครื่องปรุงสดเช่น มะนาวและพริกสด
  4. เพิ่มน้ำซุปมากกว่าน้ำมัน ทำให้น้ำซุปมีรสชาติที่ดีโดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันในการเคี่ยว
  5. ใช้วิธีปรุงแบบต้ม หลีกเลี่ยงการทอดหรือผัด เพื่อรักษารสชาติและเนื้อสัมผัสของวัตถุดิบ
ข้อควรระวังและอาการแพ้อาหาร: ต้มยำทะเลมีส่วนประกอบจากอาหารทะเลหลายประเภท เช่น กุ้ง หมึก และปู ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแพ้อาหารได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติการแพ้อาหารทะเล ควรระวังอย่างยิ่งและเลือกใช้ส่วนผสมที่มีมาตรฐาน หากเกิดอาการแพ้ควรหยุดรับประทานทันทีและขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจมีต่อสุขภาพ
รู้หรือไม่? การบริโภคต้มยำทะเลให้แคลอรี่ลดลงสามารถทำได้โดยการปรับลดส่วนผสมที่มีไขมันและแคลอรี่สูง เช่น เน้นใช้กุ้งและหมึกมากกว่าเนื้อปลา หรือหลีกเลี่ยงการใส่กะทิในสูตรต้มยำน้ำข้น หากเป็นน้ำใสควรเลือกเครื่องปรุงที่มีโซเดียมต่ำ นอกจากนี้ควรลดหรือแทนที่เครื่องปรุงที่มีน้ำตาลสูงก็ช่วยลดแคลอรี่ได้

ค่าความอิ่ม

(Satiety Index)
85
%
ระดับสูง
กินแล้วอยู่ท้องนาน

ดัชนีน้ำตาล

(Glycemic Index)
45
คะแนน
ระดับค่า GI ต่ำ
น้ำตาลในเลือดเพิ่มช้าคงที่

เส้นใยอาหาร

(Dietary Fiber)
70
คะแนน
มีใยอาหารสูง
ช่วยควบคุมการย่อยได้ดี

ค่าพิวรีน

(Purine Content)
150
mg. ต่อ 100 กรัม
มีพิวรีนสูง
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง

เป็นโรคเบาหวาน กินต้มยำทะเลได้ไหม?

ต้มยำทะเลมีค่าไกลโซดัชนีต่ำที่สัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ต้องระวังส่วนประกอบที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวหรือเมล็ดพันธุ์ต่างๆ หากเลือกใช้วัตถุดิบให้มีแคลอรี่น้อยที่สุด และกินในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย

เป็นโรคไต กินต้มยำทะเลได้ไหม?

ต้มยำทะเลมีโซเดียมสูงเนื่องจากการใช้เครื่องปรุงรสเพื่อเพิ่มรสชาติ ซึ่งอาจมีผลต่อการควบคุมระดับโซเดียมในเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต ควรปรับลดปริมาณการบริโภคหรือเลือกสูตรที่มีโซเดียมต่ำและหลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาลหรือเปรี้ยวที่ใหญ่เกินไป

เป็นโรคหัวใจ กินต้มยำทะเลได้ไหม?

เนื่องจากต้มยำทะเลอาจมีปริมาณโซเดียมสูงซึ่งมีผลต่อความดันโลหิต หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปหรือมีสารไขมันจากอาหารทะเลที่มากเกินไปจะส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลได้ ดังนั้นควรระมัดระวังและทำการปรับลดปริมาณไขมันหรือเลือกส่วนประกอบที่มีโปรตีนสูงแทน

เป็นโรคความดันโลหิตสูง กินต้มยำทะเลได้ไหม?

โซเดียมในต้มยำทะเลมีสัดส่วนสูง เราควรจำกัดการบริโภคโดยเน้นทำเองและใช้วัตถุดิบสด ทั้งยังสามารถลดปริมาณเครื่องปรุงรสที่มีเกลือสูง หรือเลือกใช้เครื่องปรุงโซเดียมต่ำ เพื่อการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและระบบการหมุนเวียนของเลือด

เป็นโรคเก๊าท์ กินต้มยำทะเลได้ไหม?

อาหารทะเลมีพิวรีนสูงซึ่งรวมอยู่ในต้มยำทะเล ที่อาจจะทำให้ระดับกรดยูริกเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ จึงควรรับประทานในปริมาณจำกัดและหลีกเลี่ยงการบริโภคพร้อมกับอาหารที่มีพิวรีนสูงอื่น คำนึงถึงสุขภาพของตนเองเป็นสำคัญ และรับคำปรึกษาจากแพทย์เมื่อจำเป็น

เป็นโรคกระเพราะ กินต้มยำทะเลได้ไหม?

น้ำซุปและพริกในต้มยำทะเลมีสรรพคุณเป็นกรด อาจมีผลกระทบต่อกระเพาะอาหารของผู้ที่มีปัญหากระเพาะ โดยเฉพาะปริมาณพริกที่เผ็ดมากหรือความเคลื่อนย้ายของรสคั้นจากสมุนไพร ต้องระมัดระวังและเลือกทำสูตรที่เข้ากับสุขภาพของตัวเอง หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ควรหยุดรับประทานทันที

ข้อมูลอาจมีความแตกต่างกันไป ตามรูปแบบการปรุง และวัตถุดิบในการประกอบอาหาร รวมไปถึงปริมาณเฉลี่ยตามขนาดภาชนะในการจัดเตรียม
Thai RDI: ความต้องการพลังงานสำหรับคนไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป มีความต้องการพลังงานเฉลี่ยวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่
เพศชาย ต้องการพลังงานมากกว่า เพศหญิง เนื่องจากเพศชายมักมีมวลกล้ามเนื้อและขนาดร่างกายที่ใหญ่กว่า ซึ่งทำให้ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่า
การเรียกหน่วย แคลอรี่ kcal หรือ cal หรือ กิโลแคลอรี่ เพื่อใช้บอกพลังงานในอาหาร ในบริบทของการใช้จริง ให้นิยามได้ว่าเป็นหน่วยความหมายเท่ากัน