ผงชูรส (Monosodium Glutamate – MSG) คือวัตถุปรุงแต่งรสชาติอาหาร ที่มีลักษณะเป็นผลึกแท่งสี่เหลี่ยม สีขาวเล็กๆ โดยมีส่วนช่วยทำให้รสชาติอาหารมีความอร่อยกลมกล่อมมากขึ้น ซึ่งรสที่ได้นั้นจะเป็นรสที่ 5 แตกต่างจาก 4 รสชาติพื้นฐาน ได้แก่ รสหวาน รสเปรี้ยว รสเค็ม และรสขม แม่ครัวหลายบ้านจึงนิยมใช้ผงชูรสมาเป็นตัวช่วยในการปรุงอาหารเพื่อให้เกิดรสชาติที่ 5 ทำให้รู้สึกอร่อย และลดขั้นตอนในการปรุงจากวัตถุดิบประเภทอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
ผงชูรส จัดเป็นวัตถุดิบปรุงแต่งรสชาติอาหารที่มีความปลอดภัย เพราะได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยา รวมไปถึงองค์การอนามัยโลก โดยสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายประเภท แต่ต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้
ประวัติความเป็นของผงชูรส
ผงชูรส ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1908 โดยผู้ค้นพบคือ ดร. คิคุนาเอะ อิเคดะ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำการสกัดสาหร่ายทะเลที่มีชื่อว่า คอมบุ จากนั้นได้เป็นผลึกสีน้ำตาลที่มีรสชาติคล้ายกับซุปสาหร่ายทะเลที่คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานกัน ทำให้ตั้งชื่อผลึกที่ได้นี้ว่า อูมามิ ที่แปลความหมายได้ว่า มีรสชาติอร่อย หลังจากนั้นราวๆ 1 ปี ดร. คิคุนาเอะก็ได้ทำการจดสิทธิบัตร อูมามิ เป็นผงชูรส ก่อนจะผลิตออกมาภายใต้แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกจนถึงปัจจุบันในชื่อ อายิโนโมโตะ
ผงชูรสในปัจจุบันนั้น ได้รับการผลิตจากวัตถุธรรมชาติอย่างแป้งมันสำปะหลัง หรือกากน้ำตาล โดยกระบวนการผลิตนั้นจำเป็นต้องผ่านการใช้เอนไซม์ในการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล จากนั้นก็จะทำการเติมเชื้อจุลินทรีย์เพื่อให้เกิดการหมัก และมีการเติมไนโตรเจนให้กับจุลินทรีย์จนได้กรดลูตามินออกมาในที่สุด แล้วก็เข้าสู่กระบวนการการตกผลึกให้ได้เป็นเกลือกลูตาเมต ก่อนนำไปแยกเอาสิ่งเจือปนออก จนเหลือเพียงผลึกบริสุทธิ์ของโมโนโซเดียมกลูตาเมต
ผงชูรส เป็นอันตรายต่อร่างกายจริงหรือไม่?
ในบางวิจัยกล่าวเอาไว้ว่า การได้รับกลูตาเมตผ่านผงชูรสนั้น จะส่งผลให้เกิดภาะกลูตาเมตเกินความจำเป็นในสมอง และส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ประสาทเกินความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ไม่ได้มีปริมาณกลูตาเมตมากในระดับที่ทำลายสมองได้ และยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ใดๆ ยืนยันว่าการรับประทานอาหารที่มีผงชูรสจะสามารถทำลายสุขภาพหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ประโยชน์ของผงชูรส
การใช้ผงชูรสในการประกอบอาหาร สามารถนำไปใช้ได้ทั้งอาหารประเภท คาว หวาน รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวต่างๆ รสชาติที่ได้จากการใช้ผงชูรสเป็นส่วนประกอบ ทำให้อาหารเหล่านั้นมีความอร่อยกลมกล่อมมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ได้รับการจากการใช้ผงชูรสในการปรุงอาหารมีดังต่อไปนี้
- ช่วยปรับปรุงรสชาติอาหารให้มีรสชาติที่อร่อย กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
- สามารถนำไปใช้ปรุงอาหารได้ทั้ง คาว หวาน รวมถึงขนมขบเคี้ยวประเภทต่างๆ
- สามารถลดกลิ่นคาวและรสของอาหารที่ไม่ชอบได้ เช่น อาหารที่มีรสขม เมื่อใส่ผงชูรสลงไปก็จะช่วยตัดรสชาติขมนั้นออกไปได้
- ช่วยให้กระเพาะอาหารและต่อมน้ำลาย ทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
- ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย
- ช่วยลดปริมาณโซเดียมในอาหารได้
- ช่วยเพิ่มความอยากอาหารในผู้สูงอายุ ทำให้รับประทานได้มากขึ้น
วิธีทดสอบหาผงชูรสปลอม
ผงชูรสที่มีวางขายตามท้องตลาดนั้น มีทั้งผงชูรสแท้ และผงชูรสปลอม โดยผู้บริโภคสามารถทำการทดสอบผงชูรสปลอมได้ด้วยการนำไปเผาไฟ หากผงชูรสหลังการเผาไหม้กลายเป็นสีดำทั้งหมดไม่เหลือสีอื่นเอาไว้ แสดงว่าเป็นผงชูรสแท้ แต่ถ้าเผาแล้ว มีสารอื่นๆ ผสมอยู่หรือมีสีอื่นๆ เจือปน แสดงว่าเป็นผงชูรสปลอม ซึ่งไม่ควรรับประทาน เพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
รับประทานผงชูรสแล้วทำให้ผมร่วงจริงหรือไม่?
หลายคนมักจะเคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า หากรับประทานผงชูรสแล้วจะทำให้ผมร่วง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า ผงชูรสทำให้ผมร่วง โดยสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้นั้น มักจะมาจากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมน รวมไปถึงโรคบางชนิด ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผงชูรสแต่อย่างใด อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังได้ออกมายืนยันแล้วว่า ผงชูรสนั้นมีความปลอดภัยในการนำมาใช้ปรุงรสชาติอาหารเช่นเดียวกับเกลือ และน้ำตาล หากรับปะทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การรับประทานผงชูรส ควรขึ้นอยู่ความเหมาะสมในการปรุงรสชาติอาหาร ไม่ควรนำมารับประทานเปล่าๆ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายปริมาณกลูตาเมทที่สูงมากได้ โดยปริมาณที่กำลังพอดีสำหรับการรับประทานผงชูรสนั้นอยู่ที่วันละประมาณ 0.55 กรัม และควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ และได้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการได้รับผงชูรสเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ผู้ที่แพ้ผงชูรสควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรสโดยเด็ดขาด โดยใช้การปรุงด้วยน้ำตาล น้ำปลา หรือเกลือแทน จะปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด